วิกฤติ - ความไว้ใจ -- พูดจริงทำจริง
.
ช่วงนี้มีดราม่าหลายเรื่องหลายข่าวกันเหลือเกิน ต้นๆเดือนมีแต่คนพูดถึงเรื่องของกรณีคุณฌอน ส่วนช่วงนี้ไม่มีใครพูดถึงเรื่องชาวต่างชาติที่ติดโควิตและเดินทางเข้ามาในประเทศไทย
.
ทั้งสองเรื่องที่นี้มีความคล้ายกันอยู่ คือ ผู้พูดอยู่หน้าจอ ทำท่าทางให้คนเข้าใจไปแบบหนึ่ง แต่อยู่ๆก็มีพฤติกรรมที่ค้านสิ่งที่ตัวองพูด เช่น ฌอนก็เน้นถึงความดี เสียสละ ซื่อสัตย์ ประโยชน์ส่วนรวม ส่วน ศบค. ก็พร่ำว่าการ์ดอย่าตก เหมือนครูฝ่ายปกครองที่เน้นวินัยเสียเหลือเกิน
.
พอมาถึงตอนนี้ ฌอนก็ทำให้คนสงสัยในความซื่อสัตย์และศคบ. ก็ทำให้คนไม่มั่นใจว่าตกลงว่าวินัยนี่ใช้กับใครกันแน่ มาตรฐานนี่มีกี่ระดับ
.
ส่วนหนึ่งที่ผู้คนโกรธและเอาเรื่อง ไม่ใช่เพราะแค่เขาเหล่านั้นทำผิด แต่ เขาผู้ยืนถือป้ายในนนามความดีและความถูกต้อง เขาผู้สั่งสอนและชี้แนวทาง กลับมีพฤติกรรมที่ตรงกันข้าม ความผิดเหล่านั้นจึงมากเป็นทวีคูณ ( และส่วนผู้ติดโควิต19 ยังสร้างผลกระทบที่ทำให้ผู้คนเดือดร้อนตามๆกันมาอีกมาก )
.
ทำให้เรียนรู้กันว่า ไอ้ท่าขึงขัง จริงจัง หรือหลักการอันใดที่เราสร้างให้คนอื่นเชื่อว่าเรายึดถือ แต่เราไม่ได้ยึดถึงมันจริงๆนั้น ช่วงแรกๆมันอาจจะทำ branding ให้เราได้ดี แต่ถ้า "โป๊ะแตก" ขึ้นมาเมื่อไหร่ เจ้าพวก branding เหล่านั้นก็จะกลายเป็น crisis หรือวิกฤติ ทันทีเลย
.
วิกฤติที่เกิดมาจากความเชื่อมั่นนี่ กู้ยากมาก เมื่อคนรู้สึกว่าถูกหลอก เสียรู้ไปครั้งหนึ่ง เขาจะเลื่อนขั้นและ branding ยากขึ้นไปอีก
.
ถ้าประชาชนไม่เชื่อใจรัฐบาลมากขึ้นทุกวันๆ ยังนึกไม่ออกว่าแล้วรัฐจะเดินหน้าไปทางไหนได้เลยค่ะ
.
ช่วงนี้หูตาว่องไวกันหน่อยนะคะ ลมเปลี่ยนทิศบ่อยเหลือเกิน